วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 6 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ

บทที่ 6 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ

สาระการเรียนรู้
1.  ความหมายและความสำคัญของธุรกิจ
2.  จุดมุ่งหมายและปัจจัยพื้นฐานของการประกอบธุรกิจ
3.  สภาพแวดล้อมและแหล่งข้อมูลทางธุรกิจ
4.  กิจกรรมทางธุรกิจและความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับบุคคล

จุดประสงค์การเรียนรู้
1.  อธิบายความหมายและความสำคัญของธุรกิจได้
2.  บอกจุดมุ่งหมายและปัจจัยพื้นฐานของการประกอบธุรกิจได้
3.  บอกสภาพแวดล้อมและแหล่งข้อมูลทางธุรกิจได้
4.  อธิบายกิจกรรมทางธุรกิจและความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับบุคคลได้

แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยที่ 1
ความหมายและความสำคัญของธุรกิจ
    ความหมายของธุรกิจ
    ธุรกิจ 
(Business)  เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การจำหน่าย และการบริการหรือกิจกรรมใด ๆ ก็ตาม ที่ทำไปแล้วก่อให้เกิดรายได้มีกำไรเป็นตัวเงิน หรือมีผลตอบแทนในรูปแบบอื่น ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็เสี่ยงกับการขาดทุนด้วย
        -  การผลิต 
(Production) คือ การดำเนินกิจกรรมทางด้านการผลิตสินค้า ซึ่งครอบคลุมถึงการผลิตทางด้านการเกษตร อุตสาหกรรม และการทำเหมืองแร่
        -  การจำหน่าย 
(Distribution) คือ การดำเนินกิจกรรมต่อจากการผลิต โดยนำสินค้าไปสู่ผู้บริโภค ซึ่งหมายความรวมถึงการค้าส่ง และการค้าปลีก
        -  การบริการ 
(Service) คือ การดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจในรูปแบบการให้บริการหรืออำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ เช่น การธนาคาร การเสริมสวย การท่องเที่ยว เป็นต้น
    สรุปได้ว่า ธุรกิจ หมายถึง "การดำเนินกิจกรรมใด ๆ โดยบุคคลเดียวหรือกลุ่มบุคคลก็ตาม ที่กระทำไปแล้วก่อให้เกิดรายได้โดยหวังผลตอบแทนเป็นกำไร" ซึ่งจากความหมายข้างต้น จะเห็นว่าถ้าเป็นกิจกรรมทางธุรกิจแล้วนั้น จะต้องเป็นกิจกรรมที่มุ่งหวังผลกำไรหรือผลตอบแทน กิจกรรมบางอย่างไม่ถือว่าเป็นธุรกิจ เนื่องจากไม่ได้หวังผลตอบแทนเป็นกำไร เช่น การดำเนินงานของรัฐบาล เช่น การสร้างทางด่วน การสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล หรือกิจกรรมเพื่อสาธารณะต่าง ๆ ของมูลนิธิ เป็นต้น

    บทบาทและความสำคัญของธุรกิจ
    การดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจเกี่ยวข้องกับคนเป็นจำนวนมาก มีความสำคัญและส่งผลต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาของประเทศในด้านต่าง ๆ ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
        -  บทบาทในการสร้างงานสร้างอาชีพและยกมาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชนให้สูงขึ้น การดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจไม่ว่ารูปแบบใดก็ตาม ส่งผลให้เกิดการจ้างงาน ทำให้ประชาชนในประเทศมีงานทำมีรายได้เพื่อใช้ในการเลี้ยงตัวเอง มีอำนาจในการใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อสิ่งของอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ที่ตนต้องการสร้างความมั่นคงให้แก่ตนเองและครอบครัว มีฐานะการเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
        -  ธุรกิจเป็นแหล่งรายได้ของรัฐจากการจัดเก็บภาษี เมื่อประชาชนมีงานทำย่อมมีรายได้ รัฐสามารถจัดเก็บภาษีและมีรายได้มากขึ้น ซึ่งรายได้จากภาษีเหล่านี้ รัฐจะนำไปสร้างสาธารณประโยชน์หรือสาธารณูปโภคต่าง ๆ สำหรับประชาชน เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล เป็นต้น
        -  ธุรกิจช่วยลดปัญหาอาชญากรรม การที่ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี มีงานทำ มีรายได้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องก่ออาชญากรรม ไม่ต้องไปปล้นจี้ ทำร้ายผู้อื่น เพื่อชิงทรัพย์สิน หรือประกอบอาชีพที่ไม่สุจริต รัฐเองก็ลดปัญหาในการจัดงบประมาณสำหรับการปราบปรามโจรผู้ร้าย ประชาชนทั่วไปมีขวัญกำลังใจไม่หวาดกลัวกับโจรผู้ร้ายที่จ้องเอาทรัพย์สิน
        -  บทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ การที่ธุรกิจขยายตัวอย่างต่อเนื่องมีการจ้างงาน ประชาชนมีงานทำ มีการกระจายรายได้สูง ประชาชนกินดีอยู่ดี จะช่วยให้ประเทศมีเศรษฐกิจที่ดี สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้
        -  บทบาทในการช่วยให้เกิดการพัฒนาทางเทคโนโลยี การแข่งขันกันทางธุรกิจจะทำให้มีความพยายามในการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพสินค้า รวมทั้งบริการด้านต่าง ๆ เพื่อให้เหนือกว่าคู่แข่งขัน และการสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า ซึ่งการศึกษาค้นคว้าพัฒนาคุณภาพและบริการอยู่เสมอ จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

จุดมุ่งหมายและปัจจัยพื้นฐานของการประกอบธุรกิจ
    จุดมุ่งหมายของการประกอบธุรกิจ
    การดำเนินธุรกิจประเทศต่างก็มีจุดมุ่งหมายในการดำเนินกิจการ ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้ คือ
        -  ต้องการกำไร
        -  ต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ผู้บริโภคภายใต้เงื่อนไขของราคาและการแข่งขัน
        -  ต้องการความมั่นคงทางธุรกิจ
        -  ต้องการความก้าวหน้าเจริญเติบโต
    จุดมุ่งหมายของผู้ประกอบการธุรกิจ โดยเฉพาะความต้องการผลกำไรสูงสุดนั้น ถือว่าเป็นจุดมุ่งหมายหลักที่ผู้ประกอบการต้องการมากที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องกอบโกยผลกำไรให้มากที่สุดเพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด ผู้ประกอบการต้องมีความรับผิดชอบและคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อสังคมส่วนรวมด้วย เช่น การตั้งโรงงานอุตสาหกรรมควรมีระบบการกำจัดของเสียที่ดี ไม่ปล่อยของเสียจากโรงงาน จนเกิดเป็นพิษภัยสร้างความเสียหายให้แก่ชีวิตทั้งของมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ

    ปัจจัยพื้นฐานของการประกอบธุรกิจ
    การประกอบธุรกิจจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินกิจการเป็นไปด้วยดี บรรลุตามวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ ปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญของการประกอบธุรกิจ ประกอบด้วย
        1.  คน 
(Man)
        2.  เงินทุน
 (Money)
        3.  วัสดุอุปกรณ์ (Materials)
        4.  เครื่องจักร (Machines)
        5.  ความรู้ในการบริหารจัดการ (Management)

สภาพแวดล้อมและแหล่งข้อมูลทางธุรกิจ
    สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ    สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ หมายถึง ปัจจัยที่เป็นอุปสรรค หรือเป็นแรงกดดันที่มีอิทธิพลส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
    
1.  ปัจจัยที่ควบคุมได้ (Controllable Factors)
        1.1  ผลิตภัณฑ์ (Product)
        1.2  ราคา (Price)
        1.3  ช่องทางการขาย (Place)
        1.4  การส่งเสริมการขาย (Promotion)

    2. ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ (Uncontrollable Factors)
        2.1  สภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ (Economics Environment)
        2.2  สภาวะแวดล้อมทางด้านกฎหมายและการเมือง (Legal and Political Environment)
        2.3  สภาวะแวดล้อมทางด้านสังคมและวัฒนธรรม (Social and Cultural Environment)
        2.4  สภาวะแวดล้อมทางการแข่งขัน (Competitor Environment)
        2.5  สภาวะแวดล้อมทางเทคโนโลยีและความก้าวหน้าทางวิชาการ (Technology Environment)
        2.6  พฤติกรรมของผู้บริโภค (Consumer Behavior)

    แหล่งข้อมูลทางธุรกิจ
    ข้อมูลทางธุรกิจมีความสำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินธุรกิจทั้งในด้านการผลิต การจำหน่าย การเงิน และการจัดการ การมีข้อมูลทางธุรกิจที่เพียงพอ จะช่วยในการตัดสินใจ การวางแผน และการกำหนดยุทธวิธีในการประกอบการให้เป็นไปอย่างถูกต้องและแม่นยำ เหนือกว่าคู่แข่งขัน ซึ่งแบ่งออก เป็น 2 ประเภทได้แก่
        1.  แหล่งข้อมูลภายในกิจการ 
(Internal Sources) เช่นเอกสารต่าง ๆ ประวัติการซื้อขาย เอกสารทางการบัญชี เป็นต้น ซึ่งสามารถนำมาประกอบการวางแผน บอกแนวโน้ม และกำหนดวิธีการดำเนินงานของธุรกิจในอนาคตได้
        2.  แหล่งข้อมูลภายนอกกิจการ 
(External Sources) เป็นข้อมูลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า ซึ่งสามารถหาได้จากหนังสือ นิตยสาร หรือข่าวสารต่าง ๆ ทั้งในหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะผลงานวิจัย งานวิชาการ ล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยให้การตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กิจกรรมทางธุรกิจและความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับบุคคล
    กิจกรรมทางธุรกิจ
    
แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
    1.  กิจกรรมที่เกี่ยวกับตัวสินค้า 
(Product Activities) ประกอบด้วย
        1.1  การวางแผนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ 
(Product Planning)
        1.2  การซื้อและการขาย (Buying and Selling)
        1.3  การจัดลำดับและมาตรฐานสินค้า 
(Grading and Standardizing)

    2.  กิจกรรมเกี่ยวกับการจัดจำหน่าย (Distributing Function)
        2.1  การขนส่ง (Transportation)
        2.2  การเก็บรักษาสินค้า (Storage)

    3.  กิจกรรมอำนวยความสะดวกต่าง ๆ (Facilitation Function)
        3.1  การเงิน (Finance)
        3.2  การเสี่ยงภัย (Risk Taking)
        3.3  การหาข้อมูลทางการตลาด (Marketing Information)

    ความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับบุคคล
    ความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับบุคคลจะมีความสัมพันธ์กันอยู่ 2 ลักษณะ คือ
    -  ในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการหรือเป็นเจ้าของกิจการ
    -  ในฐานะที่เป็นผู้บริโภค

    อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถกำหนดได้อย่างชัดเจนว่า บุคคลใดจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการ หรือบุคคลใดจะเป็นกลุ่มผู้บริโภค เพราะในขณะที่เป็นผู้ประกอบการนั้น ก็ยังเป็นผู้บริโภคในเวลาเดียวกันด้วย ยกตัวอย่าง เช่น ผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ มีความต้องการใช้เครื่องจักรสำหรับการผลิต แต่ไม่สามารถผลิตเครื่องจักรนั้นได้เอง จำเป็นต้องไปจัดซื้อมา ซึ่งหมายความว่าผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ก็เป็นผู้บริโภคด้วยเช่นเดียวกัน

บทที่ 5 ความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

บทที่ 5
ความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
สาระการเรียนรู้
1.  ความหมายของเศรษฐกิจ
2.  ปัจจัยแวดล้อมภายนอก
3.  วิวัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย
4.  แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1-8
5.  แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9

จุดประสงค์การเรียนรู้
1.  บอกความหมายของเศรษฐกิจและปัจจัยที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจได้
2.  บอกปัจจัยแวดล้อมภายนอกองค์กรธุรกิจได้
3.  บอกวิวัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้
4.  บอกลักษณะสำคัญของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1-9 ได้

แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยที่ 9
ความหมายของเศรษฐกิจ
    เศรษฐกิจ (Economics) หมายถึง กิจการหรือกระบวนการใด ๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า บริการจำหน่าย การค้าขาย และเกิดการบริโภคใช้สอยของประชาชนในสังคมนั้น
    ระบบเศรษฐกิจประกอบไปด้วยปัจจัยสำคัญ 4 ประการ ได้แก่
    -  ทรัพยากรธรรมชาติ 
(Natural Resources)
    -  แรงงาน (Labor)
    -  ทุน (Capital)
    -  ผู้ประกอบการ (Enterpreneur)

ปัจจัยแวดล้อมภายนอกองค์กรธุรกิจ  แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่
    ปัจจัยแวดล้อมด้านเศรษฐกิจ เช่น
  
  -  ทรัพยากรที่เป็นปัจจัยในการผลิต
    -  การคาดคะเนระดับราคาและรายได้
    -  นโยบายด้านการเงินการคลังของรัฐบาล
    -  ภาวะเงินเฟ้อหรือเงินฝืด
    -  ขนาดของตลาด

    ปัจจัยแวดล้อมด้านสังคมและวัฒนธรรม เช่น
  
  -  ทัศนคติ ความเชื่อ ค่านิยมของสังคม
    -  ระดับการศึกษา
    -  วัฒนธรรมและจารีตประเพณี
    -  ชนชั้นวรรณะทางสังคม
    -  เพศ  อายุ

    ปัจจัยแวดล้อมด้านกฎหมายและการเมือง เช่น
   
 -  กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
    -  นโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและสังคม
    -  ความมั่นคงและความมีเสถียรภาพของรัฐบาล
    -  ความสงบเรียบร้อยหรือความวุ่นวายทางการเมือง

    ปัจจัยแวดล้อมด้านเทคโนโลยี เช่น
   
 -  การประดิษฐ์คิดค้นผลิตสินค้าหรือผลิตภัณฑ์สิ่งใหม่ ๆ
    -  ความก้าวหน้าและสะดวกรวดเร็วในการขนส่งสินค้าและบริการ
    -  ความสามารถในการจัดเก็บข้อมูล
    -  ความก้าวหน้าทางการแพทย์
    -  ความก้าวหน้าในการติดต่อสื่อสาร
 

วิวัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมไทยในอดีต
    1.  สภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยสมัยกรุงสุโขทัย  ด้านการค้าที่สำคัญ คือ ประเทศจีน ซึ่งได้มีการจัดสินค้าลงเรือและสินค้าที่สำคัญได้แก่เครื่องปั้นดินเผา และของป่า  ระบบการปกครองเป็นแบบพ่อปกครองลูก อาชีพที่นิยมคืออาชีพรับราชการ
    2.  สภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา  ด้านการค้าที่สำคญได้แก่ประเทศโปรตุเกส สเปน ฮอลันดา อังกฤษ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น  แต่ก็เป็นการค้ากับทางราชการเสียเป็นส่วนใหญ่ ประชาชนทั่วไปยังคงมีอาชีพทางด้านการเกษตร ด้านหัตถกรรม และนิยมเข้ารับราชการ
    3.  สภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยสมัยกรุงธนบุรี  เป็นยุคที่บ้านเมืองกำลังแตกเป็นก๊ก มีการทำศึกสงคราม ประชาชนต้องหลบหนีภัยสงครามไปอยู่ตามป่าตามเขา
    4.  สภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์  เริ่มมีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นถนน ทางรถไฟ ไฟฟ้า ประปา ฯลฯ แต่อาชีพรับราชการยังคงเป็นอาชีพที่นิยมกันอยู่  ประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพทางด้านการเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทำนาปลูกข้าว รัฐบาลเริ่มส่งเสริมให้มีการผลิตเพื่อส่งออกและติดต่อค้าขายกับต่างประเทศทั่วโลก
    5.  สภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยในปัจจุบัน  ปัจจุบันได้พัฒนามาสู่การผลิตด้านอุตสาหกรรม การค้า และการบริการมากขึ้น  แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงทำงานอยู่ในภาคการเกษตร สังคมไทยมีขนาดครอบครัวที่เล็กลง คนรุ่นใหม่รับเอาแนวคิดและวัฒนธรรมจากต่างประเทศเข้ามาโดยผ่านสื่อต่าง ๆ
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1-9
    ประเทศไทยมีการประกาศใช้แผนพัฒนาครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2504

    -  แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 เน้นการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
    -  แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 เน้นการพัฒนาสังคมควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ
    -  แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 เน้นเรื่องความร่วมมือระหว่างส่วนราชการส่วนกลางกับส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น
    -  แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 เน้นเรื่องความมั่นคงปลอดภัยของประเทศเป็นหลักในการพัฒนาด้านต่าง ๆ
    -  แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5  เน้นเรื่องการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ
    -  แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 6  เน้นเรื่องการยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตของประชาชน
    -  แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 7  เน้นเรื่องการรักษาความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
    -  แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8  เน้นเรื่องการพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์และเสริมสร้างสังคม
    -  แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 (ฉบับปัจจุบัน)  เน้นเรื่องความมีดุลยภาพทางเศรษฐกิจ  การยกระดับคุณภาพชีวิต  การมีระบบการบริหารจัดการที่ดีและการลดความยากจน

        ระบบเศรษฐกิจเกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า บริการจำหน่าย การค้าขาย และเกิดการบริโภคใช้สอยของประชาชนในสังคม ประกอบไปด้วยปัจจัยที่สำคัญต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้การดำเนินธุรกิจไปได้ด้วยความราบรื่น โดยมีปัจจัยแวดล้อมภายนอกองค์กรธุรกิจ ที่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ 7 กลุ่มใหญ่ คือ ปัจจัยแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจ  ด้านสังคมและวัฒนธรรม  ด้านกฎหมายและการเมืองการปกครอง และด้านเทคโนโลยี

บทที่ 4 การเลือกทำเลที่ตั้ง

บทที่ 4 การเลือกทำเลที่ตั้ง
การเลือกทำเลที่ตั้งสถานประกอบธุรกิจ หมายถึง การจัดหาหรือสรรหาสถานที่ สำหรับประกอบธุรกิจให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยคำนึงถึง กำไร ค่าใช้จ่าย พนักงาน ความสัมพันธ์กับลูกค้าความสะดวก ตลอดจนสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่ดีตลอดระยะเวลาที่ประกอบธุรกิจนั้น
ความสำคัญในการเลือกทำเลที่ตั้งสถานประกอบธุรกิจ
การเลือกทำเลที่ตั้งสถานประกอบธุรกิจ มีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์การธุรกิจ กล่าวคือหากเลือกทำเลที่ไม่เหมาะสม จะทำให้องค์การธุรกิจ ประสบปัญหาอื่น ๆ ตามมา เช่น ค่าขนส่งสูง เนื่องจากสถานประกอบธุรกิจอยู่ไกลจากแหล่งวัตถุดิบ และตลาด นอกจากนี้ อาจขาดแคลนแรงงานที่มีคุณภาพ ขาดแคลนวัตถุดิบ รวมไปถึงปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการผลิต และการปฏิบัติงานขององค์การธุรกิจ โดยทั่วไปลักษณะของทำเล จะไม่มีลักษณะใด ที่ดีกว่ากันอย่างชัดเจน แต่จะเกิดจากการพิจารณาลักษณะดีของแต่ละทำเล นำมาประกอบกัน เพื่อการตัดสินใจเลือกที่ใช้ตั้ง สถานประกอบธุรกิจ ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาในอนาคต ให้น้อยที่สุดการเลือกทำเลที่ตั้งสถานประกอบธุรกิจต่าง ๆ โดยทั่วไปมักจะพยายามหาแหล่ง หรือทำเลที่ทำให้ต้นทุนรวม ของการผลิตสินค้าและ บริการที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แต่ลักษณะของการประกอบธุรกิจและสถานที่ประกอบกิจการย่อมแตกต่างกันในเรื่องของชนิดสินค้า ค่าใช้จ่ายและการลงทุน ดังนั้นการพิจารณาเลือกทำเลจึงต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ หลายประการเพราะการเลือกทำเลที่ตั้ง มีความสำคัญต่อการ ดำเนินงานขององค์การธุรกิจต่าง ๆ เช่น การวางแผนระบบการผลิต การวางผังโรงงาน การลงทุน และรายได้ เป็นต้น

ปัจจัยในการเลือกทำเลที่ตั้งสถานประกอบธุรกิจ

ปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบใช้ในการพิจารณาเลือกทำเลที่ตั้งสถานประกอบธุรกิจ มีดังนี้
1. แหล่งวัตถุดิบและทรัพยากรธรรมชาติ
การตั้งสถานประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะองค์การธุรกิจประเภทอุตสาหกรรม ส่งที่นำมาใช้ในการผลิตคือ วัตถุดิบ เช่นโรงงานผลิตสับปะรดกระป๋อง วัตถุดิบ คือ อะไห่และชิ้นส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์ โรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ วัตถุดิบ คือ ไม้ ฯลฯ ดังนั้นในการจัดตั้งสถานประกอบการธุรกิจ จึงต้องคำนึงถึง แหล่งวัตถุดิบ ที่นำมาใช้ในการผลิต ควรจะอยู่ในแหล่งวัตถุดิบหรืออยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ เพื่อสะดวกในการจัดหาวัตถุดิบราคาวัตถุดิบ และค่าขนส่งย่อมลดลง เช่น โรงงานผลิตปลากระป๋อง ควรตั้งอยู่ใกล้ ชายฝั่งทะเลจะได้วัตถุดิบราคาถูก คุณภาพดี แต่ถ้าโรงงานผลิตปลากระป๋อง ตั้งอยู่ไกลจากชายฝั่งทะเลมาก วัตถุดิบที่จัดหาอาจไม่มีหรือมีจำนวนน้อยทำให้วัตถุดิบราคาสูง คุณภาพไม่ดี และต้องเสียค่าขนส่งสูง เป็นต้น นอกจากนั้น ต้องคำนึงถึงทรัพยากรธรรมชาติด้วย เช่น น้ำ อากาศ เนื่องจากในการผลิต ส่วนประกอบที่สำคัญที่ใช้ในการผลิต ส่วนใหญ่ต้องอาศัยน้ำ กิจการประเภทโรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ จึงตั้งอยู่ ใกล้แม่น้ำ หรือแหล่งน้ำต่าง ๆ เพื่อสะดวกในการนำน้ำมาใช้ในการผลิต
ในการตั้งสถานที่ประกอบการใกล้แม่น้ำ ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสภาพแวดล้อมด้วย เช่น ในการผลิตจะมีของเสียจากการผลิต โรงงานอุตสาหกรรม จะต้องมีระบบในการกำจัดน้ำเสีย ไม่ถ่ายเทน้ำเสียลงในแม่น้ำลำคลองหรือเปลี่ยนสภาพจากน้ำเสียให้เป็นน้ำดีก่อนที่จะ ถ่ายเทลงในแม่น้ำคลอง กรณีที่โรงงานอุตสาหกรรมเมื่อทำการผลิตแล้ว มีฝุ่นละอองหรือควันเสีย จะต้องทำการป้องกันมิให้อากาศเป็นพิษด้วย การประกอบการธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ประเภท พาณิชยกรรม หรือประเภทอุตสาหกรรมการเลือกทำเลที่ตั้งสถานที่ประกอบการจะ ต้องคำนึงถึงแหล่งจัดซื้อ เพื่อให้การจัดซื้อได้สินค้า หรือวัตถุดิบราคา ที่เหมาะสม เสียค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อต่ำ คุณภาพสินค้าหรือวัตถุดิบเป็นตาม ที่ต้องการ และได้ทันเวลาที่มีความต้องการของตลาด หรือการผลิต
การจัดซื้อเพื่อให้มีประสิทธิภาพ มีขั้นตอนดังนี้
1.1 กำหนดรายละเอียดของสินค้าหรือวัตถุดิบ ที่ต้องการซื้อทั้งคุณภาพและปริมาณ
1.2 สำรวจแหล่งขาย โดยผู้ประกอบการจะต้องทราบถึงแหล่งขายสินค้าหรือวัตถุดิบที่ต้องการจัดซื้อว่าอยู่ที่ใด มีผู้ขายกี่ราย แต่ละรายกำหนดราคาขายเท่าไร คุณภาพสินค้าหรือวัตถุดิบเป็นอย่างไร มีเงื่อนไขในการขายอย่างไรบ้าง เมื่อสำรวจแหล่งขายแล้ว คาดว่าจะจัดซื้อ จากผู้ขายรายใด ควรมีการเจรจาตกลง ในเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการจัดซื้อ ในกรณีจัดซื้อครั้งละเป็นจำนวนมาก การเจรจาระหว่าง ผู้จัดซื้อและผู้ขาย ควรจัดตั้งคณะกรรมการ เพื่อดำเนินการเป็นการป้องกันการทุจริตที่อาจจะเกิดขึ้นได้
1.3 การสั่งซื้อ หลังจากได้มีการเจรจาตกลงกันแล้ว ผู้จัดซื้อจัดทำใบสั่งซื้อ ซึ่งประกอบด้วยรายละเอียดต่าง ๆ ได้แก่ วัน เดือน ปี ที่สั่งซื้อ ราคาต่อหน่วย ราคารวม ชื่อเครื่องหมายการค้าของผู้จัดซื้อ ชื่อเครื่องหมายการค้าของผู้ขาย ระบุเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น เงื่อนไขในการส่งมอบ เงื่อนไขในการชำระเงิน
1.4 การรับสินค้าหรือวัตถุดิบ เมื่อผู้ขายส่งสินค้าให้ผู้จัดซื้อ จะต้องมีใบกำกับสินค้าแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับ วัน เดือน ปี ที่ส่งสินค้าหรือวัตถุดิบ ปริมาณสินค้าหรือวัตถุดิบ ราคาต่อหน่วย ราคารวม ชื่อเครื่องหมายการค้าของผู้ขาย ชื่อเครื่องหมายการค้าของผู้สั่งซื้อ ผู้จัดซื้อจะต้องตรวจสอบความถูกต้อง ของสินค้าหรือวัตถุดิบที่ได้รับให้ตรงตามใบสั่งซื้อและใบกำกับสินค้า
2. แหล่งแรงงาน
แรงงาน หมายถึง สิ่งที่ได้จากความสามารถของมนุษย์ทั้งแรงงาน ที่ได้จากแรงกายและแรงงาน ที่ได้จากความคิด เพื่อนำมาใช้ในการผลิตสินค้า และบริการ ตามที่ต้องการ แรงงานที่ผู้ประกอบการต้องการ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
2.1 แรงงานที่มีฝีมือหรือแรงงานที่มีความชำนาญ (Skilled Labour)
2.2 แรงงานไร้ฝีมือ หรือแรงงานทั่วไป (Unskilled Labour)
ผู้ประกอบการจะมีความต้องการแรงงานประเภทใด จะรู้ได้โดยการจัดทำรายละเอียดหน้าที่ของตำแหน่งงานแต่ละตำแหน่ง ต้องการแรงงานจำนวนเท่าใด และเมื่อใด โดยการเสนอจากแต่ละหน่วยงานในองค์การธุรกิจ ในการจัดหาสถานที่ประกอบการ ต้องคำนึงถึง แหล่งแรงงานที่ธุรกิจมีความต้องการ ซึ่งควรจะเป็นแหล่งที่จัดหาแรงงานได้ง่าย อัตราค่าจ้างต่ำและมีคุณภาพตามที่ต้องการ เช่น ในการดำเนินกิจการโรงงานผลิตปลากระป๋อง แรงงานที่ต้องการใช้ส่วนใหญ่เป็นประเภทแรงกาย แรงงานไร้ฝีมือ สถานที่ประกอบการตั้งในต่างจังหวัดจะหา แรงงานได้ง่าย และอัตราค่าจ้างต่ำ แต่ถ้าเป็นโรงงานผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตที่ทันสมัย แรงงานที่ใช้เป็นประเภทแรงงานที่ใช้ ความคิด แรงงานที่มีความชำนาญ สถานที่ประกอบการควรตั้งในเมืองใหญ่หรือใกล้เมืองใหญ่ จึงจะหาแรงงานได้ตามที่ต้องการ
3. ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง
การเลือกสถานที่ประกอบการ จะต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ดังนี้
3.1 ค่าขนส่งวัตถุดิบไปยังโรงงานเพื่อทำการผลิต วัตถุดิบที่ใช้ผลิตส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักมากและต้องใช้ในปริมาณที่สูงการเลือกสถานที่ประกอบการจึงควรอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบเพื่อเสียค่าขนส่งในอัตราที่ถูก แต่ถ้าไม่ตั้งสถานที่ประกอบการใกล้แหล่งวัตถุดิบ ก็ควรพิจารณาระบบการขนส่งที่เหมาะสม เพื่อให้วัตถุดิบไปยังโรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเสียค่าใช้จ่ายต่ำ
3.2 ค่าขนส่งสินค้าไปเพื่อเก็บรักษา เมื่อผลิตสินค้าเสร็จก่อนนำออกจำหน่ายสินค้าจะต้องได้รับการดูแลรักษา ในสภาพที่เหมาะสม เพื่อคุณภาพที่ดีของสินค้าสถานที่ประกอบการควรอยู่ใกล้คลังเก็บสินค้า เพื่อสะดวกในการขนสินค้าจากโรงงานไปเก็บรักษาในคลังสินค้า และเสียค่าใช้จ่ายต่ำ
3.3 ค่าขนส่งสินค้าออกจำหน่าย เพื่อความสะดวกของผู้บริโภค การเลือกสถานที่ประกอบการ ควรตั้งให้ใกล้แหล่งผู้บริโภค และประหยัดค่าใช้จ่าย
4. สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
การเลือกทำเลที่ตั้งสถานประกอบการ ควรคำนึงถึงสิ่งอำนวยความสะดวก ดังนี้
4.1 สาธารณูปโภค การเลือกสถานที่ประกอบการควรคำนึงถึงระบบการให้บริการด้านการประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ และการส่งไม่ว่าจะประกอบกิจการประเภท โรงงานอุตสาหกรรม หรือประเภทซื้อขายสินค้า เพราะเครื่องอำนวยความสะดวกดังกล่าว มีส่วนทำให้การประกอบธุรกิจมีความคล่องตัวสูง
4.2 สถานพยาบาล สถานีตำรวจ สถานีดับเพลิง การเลือกสถานที่ประกอบการควรคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ เพื่อความปลอดภัยและสะดวกในการขนส่งในการเดินทาง
5. แหล่งลูกค้า
สำหรับการประกอบกิจการประเภทโรงงานอุตสาหกรรม การจำหน่ายสินค้าจะจำหน่ายครั้งละเป็นจำนวนมาก ผู้มาซื้อคือ ผู้ค้าคนกลาง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้อง เลือกสถานที่ตั้งใกล้ผู้บริโภคโดยตรง แต่ถ้าเป็นการประกอบกิจการประเภทผู้ค้าคนกลางที่ต้อง จำหน่ายสินค้าแก่ผู้บริโภคโดยตรง ควรเลือกสถานที่ตั้ง ใกล้ผู้บริโภค เพื่อความสะดวกในการจำหน่ายและเสียค่าขนส่งต่ำ
6. กฎหมาย ระเบียบและข้อบังคับ
การเลือกสถานที่ประกอบการจะต้องศึกษากฎหมาย ระเบียบและข้อบังคับต่าง ๆ ของสถานที่ประกอบการ เพื่อไม่ให้การประกอบการ นั้นขัดต่อกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับหรือประเพณีอันดีงามของสถานที่นั้น เช่น ในประเทศไทย พื้นที่สีเขียวจะกำหนดไว้สำหรับการประกอบการ เกษตร จะตั้งโรงงาน อุตสาหกรรมในพื้นที่สีเขียวไม่ได้ เป็นต้น
7. แหล่งเงินทุน
การเลือกสถานที่ประกอบการต้องคำนึงถึงเงินทุนที่ต้องใช้ ได้แก่ ราคาที่ดิน อัตรา ค่าแรงงาน เครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ ค่าธรรมเนียมและภาษี ที่ต้องจ่ายให้องค์การของรัฐใน การดำเนินการจัดตั้งสถานที่ประกอบการ ซึ่งค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เหล่านี้ขึ้นอยู่กับการเลือกสถานที่ประกอบการทั้งสิ้น จากปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น มีผลกระทบต่อการตัดสินใจเลือกสถานที่ประกอบการ โดยผู้ประกอบการควรคำนึงถึงผลตอบแทน ที่คาดว่าจะได้รับจาก การตัดสินใจเลือกสถานที่ใดเป็นสถานที่ประกอบ โดยคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้
7.1 ต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายรวมต่ำสุด การตัดสินใจเลือกสถานที่ใดเป็นสถานที่ประกอบการ ต้องคำนึงถึงต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายที่ เกิดขึ้นในการเลือก สถานที่นั้น เป็นสถานประกอบการ เช่น การประกอบการโรงงานผลิตไม้แปรรูป วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตไม้แปรรูป คือ ซุงซึ่งเป็นวัตถุดิบมีน้ำหนักมาก การขนส่งค่อนข้าง ยุ่งยากและเสียค่าใช้จ่ายสูง ส่วนสินค้าสำเร็จรูป คือ ไม้แปรรูปมีน้ำหนักเบากว่าวัตถุดิบ การขนส่งค่อนข้างสะดวก และเสียค่าใช้จ่ายต่ำกว่า สถานที่ประกอบกา รโรงงานผลิตไม้แปรรูป จึงควรตั้งใกล้แหล่งวัตถุดิบมากกว่าตั้งใกล้ ผู้บริโภค เพราะจะทำให้เสียค่าขนส่งที่ถูกกว่า กรณีหาสถานที่ประกอบการในแหล่งวัตถุดิบ ไม่ได้ก็ควรหาสถานที่ตั้งใกล้แม่น้ำ เนื่องด้วยการขนส่ง ซุงสามารถใช้วิธีล่องซุงมาตามแม่น้ำ ทำให้เสียค่าขนส่งต่ำ นอกจากต้นทุนค่าขนส่งแล้ว ต้นทุนหรือ ค่าใช้จ่ายที่จะต้องนำมาประกอบการตัดสินใจ เลือกสถานที่ประกอบการ ได้แก่ ค่าแรงงาน อัตราภาษี ค่าบริการต่าง ๆ
7.2 กำไรที่สูงสุด การตัดสินใจเลือกสถานที่ใดเป็นสถานที่ประกอบการ นอกจากคำนึงถึงต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายที่ต่ำที่สุดแล้ว ควรคำนึงถึงรายรับประกอบการ ตัดสินใจด้วย หากสามารถตั้งสถานประกอบการ ในแหล่งที่ต้นทุน หรือค่าใช้จ่ายรวมต่ำกว่า ก็จะมีโอกาสหา รายรับได้มากกว่าคู่แข่ง จะทำให้ได้เปรียบ คือ กำไรสูงสุด
7.3 การเรียนลำดับปัจจัยต่าง ๆ ตามความสำคัญ เนื่องจากปัจจัยแต่ละปัจจัยมีความสำคัญแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของการประกอบการแต่ละประเภท ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องจัดลำดับความสำคัญ และรวมคะแนนแล้วจึงตัดสินใจเลือกสถานที่ประกอบธุรกิจจากการพิจารณาคะแนนที่สูงสุด

บทที่ 3 ระบบการแลกเปลี่ยน

บทที่ 3 ระบบการแลกเปลี่ยน

   
ความหมายของการแลกเปลี่ยน
                การแลกเปลี่ยน ( Exchange )คือ เป็นกิจกรรมการเปลี่ยนกรรมสิทธิ์การเป็นเจ้าของ ของสิ่งของ สินค้าหรือบริการ โดยการเสนอสิ่งที่มีต่าหรือสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการเป็นการตอบแทน
           
                จากความหมายของการแลกเปลี่ยนสามารถสรุปลักษณะของการแลกเปลี่ยนได้ดังนี้  
                1. ประกอบด้วยบุคคลหรือกลุ่มบุคคล 2 ฝ่ายขึ้นไป
                2. แต่ละฝ่ายมีสิ่งที่มีมูลค่าสำหรับอีกฝ่าย
                3. แต่ละฝ่ายมีความสามารถในการติดต่อสื่อสารและการส่งมอบ
                4. แต่ละฝ่ายมีอิสระที่จะยอมรับหรือปฎิเสธในสิ่งที่อีกฝ่ายเสนอ
                5. แต่ละฝ่ายเชื่อว่าเป็นการเหมาะสมหรือพอใจหรือพอใจที่จะติดต่อสื่อสารกับอีกฝ่ายหนึ่ง

วิวัฒนาการของการแลกเปลี่ยน

                การแลกเปลี่ยนมีมาตั้งแต่อดีต แต่ละยุคละสมัยจะมีความแตกต่างกัน  ซึ่งสามารถสรุปวิวัฒนาการของการแลกเปลี่ยนได้ดังนี้

                1. ระบบการแลกเปลี่ยนของต่อของ ( Barter System)
                2. ระบบการแลกเปลี่ยนโดยใช้เงิน (Money System)
                3. ระบบการแลกเปลี่ยนโดยใช้เครดิต (Credit System)

 
1. ระบบการแลกเปลี่ยนของต่อของ ( Barter System)
            ระบบแลกเปลี่ยนของต่อของ เป็นการนำสิ่งของมาแลกเปลี่ยนกันระหว่างผู้ที่มีความต้องการตรงกัน เช่น นำข้าวสารมาแลกกับหมู นำไข่มาแลกปลา  ในทางปฎิบัติมีปัญหาและอุปสรรคต่างๆเกิดขึ้นหลายประการ ได้แก่

                1. ปัญหาความต้องการของคนไม่ตรงกัน
                2. ปัญหาเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนหรือกำหนดราคา
                3. ปัญหาเกี่ยวกับการขนส่ง
                4. ปัญหาเกี่ยวกับการเก็บรักษา
                5. ปัญหาเกี่ยวกับการให้กู้ยืมและการชำระหนี้
               6. ปัญหาเกี่ยวกับสิ่งของบางอย่างแบ่งแยกหน่วยย่อยไม่ได้

2. ระบบการแลกเปลี่ยนโดยใช้เงิน (Money System)
            จากการแลกเปลี่ยนในระบบของแลกของมีความไม่สะดวกหลายประการ มนุษย์จึงได้คิดค้นหาวิธีแลกเปลี่ยนในระบบใหม่ โดยมีการกำหนดสิ่งของบางอย่างขึ้นมาเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เรียกสิ่งนั้นว่า เงิน (Money)
                หน้าที่ของเงิน (Functions of Money)
                1.เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
                2. เป็นเครื่องวัดมูลค่า
                3. เป็นมาตรฐานในการชำระหนี้ในอนาคต
                4. เป็นเครื่องเก็บรักษามูลค่า

                ประเภทของเงิน ( Kind of Money)

               เงินสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้

                1. เงินมาตรฐาน คือ เงินที่ทำด้วยโลหะที่มีค่าและหายากใช้เป็นมาตรฐานในการแลกเปลี่ยนโดยแท้
                2. เงินเครดิต หมายถึง เงินประเภทที่มีราคาของเงินที่ตราไว้สูงกว่าสิ่งของที่ใช้ทำเงินนั้น เหตุที่เรียกว่า เงินเครดิต  เพราะผู้ใช้เชื่อเครดิตของรัฐบาลเพราะรัฐบาลเป็นผู้กำหนดให้เงินใช้ชำระหนี้ตามกฎหมายได้
                3. เงินฝากเผื่อเรียก หมายถึง เงินฝากธนาคารพาณิชย์ประเภทเงินฝากกระแสรายวัน เจ้าของเงินฝากสามารถเขียนเช้คสั่งให้ธนาคารจ่ายเงินได้ทันทีเมื่อต้องการ   

3. ระบบการแลกเปลี่ยนโดยใช้เครดิต (Credit System)
           เครดิต หมายถึง ความเชื่อที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลหนึ่งกับอีกบุคคลหนึ่งในระยะเวลาหนึ่ง หรือเป็นการที่บุคคลหรือ ธุรกิจมอบความเชื่อถือและความไว้วางใจให้แก่บุคคลหรือธุรกิจเพื่อให้รับสินค้าหรือบริการไปโดยยังไม่ต้องชำระเงินในขณะนั้น แต่มีสัญญาว่าจะชำระเงินให้ในอนาคต

                ประเภทของเอกสารเครดิต
                เอกสารเครดิตที่นิยมใช้ได้แก่
                1. ตั๋วสัญญาใช้เงิน
                2. ตั๋วแลกเงิน
                3. เช็ค

                ประโยชน์การใช้เอกสารเครดิต
                1.มีความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ เพราะการใช้เอกสารเครดิตทำให้การดำเนินธุรกิจมีความคล่องตัว
                2. มีความปลอดภัย  การพกพาเงินสดจำนวนมากในการประกอบธุรกิจอาจทำให้ไม่ปลอดภัยทั้งต่อตนเองและทรัพย์สิน

บทที่ 2 การใช้เทคโนโลยีในการประกอบธุรกิจ

ใช้เทคโนโลยีอย่างไรให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจ

                                     ภาพจาก : smethailandclub.com 

     ถึงแม้ว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำธุรกิจในยุคนี้จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การนำเทคโนโลยีมาใช้ก็ควรจะมีการเลือกให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดคุ้มค่ากับการลงทุน ดังเช่นคำแนะนำต่อไปนี้ 

     1. อย่ามองการใช้เงินด้านเทคโนโลยีเป็นค่าใช้จ่ายแต่ให้มองว่าเป็น “การลงทุน” 

     การทำธุรกิจหลายประเภท เรามักจะต้องจ่ายค่าโฆษณา ค่าจัดงานโปรโมทสินค้า ค่าจ้างนักบัญชี และอื่นๆ อีกมากมาย แต่พอเป็นเรื่องเทคโนโลยี หลายคนมักจะเลือกจ่ายเฉพาะค่าเทคโนโลยีที่“จำเป็น” ต้องใช้ และไม่มียอมจ่ายค่าเทคโนโลยีที่คิดว่าไม่ได้ใช้ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดอย่างยิ่ง ถ้าคุณต้องการให้ธุรกิจของคุณยืนยาวตลอดไป การลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณประหยัดทั้งเงินและเวลา ดังนั้นอย่ามองธุรกิจของคุณแค่ในวันนี้แต่ให้มองไปถึงอีก 5 ปี หรือ 10 ปีข้างหน้าแล้วเลือกลงทุนด้านเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณ 

     2. ให้ความสำคัญกับการสื่อสารออนไลน์ 

     ไม่ว่าจะเป็น Social Media ยี่ห้อไหนก็ตาม การได้แสดงความเห็นกับลูกค้า ตอบสนองในสิ่งที่พวกเขาเรียกร้อง อัพโหลดวีดีโอที่น่าสนใจ ฯลฯ การสื่อสารในรูปแบบนี้ไม่ใช่แค่การนำเสนอเนื้อหาดีๆ หรือการสื่อสารทางเดียวแบบที่ผ่านๆมา แต่การใช้ Social Media ช่วยให้คุณได้พูดคุยกับลูกค้าตัวจริง ให้ลูกค้าของคุณได้พูดคุยกันเองเกี่ยวกับคุณและผลิตภัณฑ์ของคุณ 

     แต่การจะใช้ประโยชน์ของสิ่งเหล่านี้ให้คุ้มค่าคุณจะต้องมีหลายปัจจัยรวมกัน ไม่ใช่แค่ปัจจัยเดียว อาทิเวบไซต์ที่ใช้งานง่าย เนื้อหาที่ดี มีหน้าบล็อก เวบบอร์ดให้คนเข้าร่วม มีจดหมายอิเลคทรอนิกส์ที่อ่านง่าย เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านและส่งหาลูกค้าสม่ำเสมอ ตลอดจนการสื่อสารผ่านเวบเครือข่ายทางสังคมที่รวดเร็วทันใจครอบคลุมในหลายช่องทางที่ได้รับความนิยม 

     3. นำเทคโนโลยีเคลื่อนที่มาใช้ในธุรกิจ 

     ถ้างานของคุณจำเป็นต้องไปไหนมาไหนบ้าง เทคโนโลยีเคลื่อนที่เป็นตัวเลือกที่จำเป็นกับคุณมิใช่น้อย เพราะการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้จะทำให้คุณเข้าถึงอีเมล แฟกซ์ ไฟล์งานต่างๆ ในออฟฟิศได้เสมือนอยู่ในออฟฟิศ โดยที่ไม่ต้องคอยบอกลูกค้าว่ายังไม่ได้รับแฟกซ์หรือข้อความใดๆ เพียงเพราะคุณไม่ได้อยู่ในที่ทำงานซึ่งทำให้คุณปราศจากความคล่องตัวในการทำงานหรืออาจจะถึงขั้นสูญเสียลูกค้าก็เป็นได้ 

     4. หาตัวช่วยด้านเทคโนโลยี 

     ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องจัดการและดูแลเทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้ด้วยตัวเอง คุณอาจจะมีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจของคุณมาก แต่ไม่ได้หมายความว่า คุณต้องมีความเชี่ยวชาญด้านเครือข่ายเทคโนโลยี การสำรองข้อมูลในคอมพิวเตอร์ฯลฯ ทางเดียวที่จะช่วยให้คุณใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพที่สุดก็คือการว่าจ้างบริษัทหรือผู้เชี่ยวชาญให้มาดูแลงานส่วนนี้แทนคุณ

บทที่ 1 คุณลักษณะของผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ

บทที่ 1 คุณลักษณะของผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ

“และเมื่อใดที่คุณลักษณะของผู้ประกอบการทั้งเก้าที่เกื้อหนุนกันนั้นได้รับการผสมกันอย่างถูกส่วน วันนั้นคงเป็นวันที่ธุรกิจของท่านเติบโตในประเภทที่ว่า ทำอะไรก็ดีไปหมด ใครจะฉุดก็หยุดไม่อยู่”
ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่าหลายๆ คนคงมีความคิด ความฝันที่ต้องการจะเป็นผู้ประกอบการซักวันในอนาคต นั่นคือต้องการมีธุรกิจเป็นของตนเอง ไม่ธุรกิจใดก็ธุรกิจหนึ่ง หลายท่านอาจทราบแล้วว่าตนเองต้องการที่จะทำธุรกิจอะไร อีกหลายท่านก็มีธุรกิจหลายอย่างที่วิ่งวนอยู่ในความคิดแต่ยังไม่ทราบว่าจะจับสินค้าตัวไหนให้เป็นธุรกิจเริ่มแรก อันโน้นก็ดี อันนี้ก็น่าสนใจและในขณะเดียวกันยังมีอีกหลายท่านที่ยังไม่ได้ตกลงปลงใจว่าสินค้าหรือบริการใดที่ต้องการริเริ่มทำเป็นธุรกิจ แต่กำลังหาประสบการณ์และความชำนาญจากการทำงานในบริษัท หรือรับจ้างเขาทำงานไปก่อนเพื่อรอโอกาส และจังหวะที่เหมาะสมที่จะหยิบคว้าโอกาสนั้นมาทำเป็นธุรกิจ
การเป็นเจ้าของธุรกิจหรือผู้ประกอบการนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ถ้ามีความมุ่งมั่นที่จะทำ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไปนัก เพราะถ้าหากทำได้ยากเย็นแสนเข็ญป่านนี้เราคงเห็นแต่พนักงานบริษัทเดินชนกันเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะไม่มีใครคิดที่จะริเริ่มทำอะไรใหม่ๆ คอยรอรับเงินตอนสิ้นเดือน ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง โลกนี้ก็เป็นสถานที่ๆ ไม่น่าอภิรมย์ซักเท่าไรนัก ลองคิดดูซิครับว่าถ้าโลกนี้ทุกคนเป็นมนุษย์เงินเดือนกันไปเสียหมด ธุรกิจในโลกนี้คงถูกครอบครองโดยคนไม่กี่กลุ่มหรือไม่กี่ครอบครัว ส่วนพวกเราๆ ที่เป็นมนุษย์หาเช้า กินค่ำ รับเงินเดือนคงไม่มีโอกาสลืม อ้าปาก พูดอย่างเต็มปากเต็มคำได้ว่า ผมมีอิสระในการทำงานเพราะธุรกิจที่ผมทำอยู่นั้นผมเป็นคนเริ่ม หรือลองใช้สินค้าของผมดูนะครับ แล้วจะทราบว่ามันแตกต่างจากของเดิมๆที่มีอยู่ในตลาดตอนนี้
ผู้ประกอบการนั้นเปรียบเสมือนฟันเฟืองที่สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของโลกใบนี้  ซึ่งเป็นโลกแห่งความเสรีของความคิด ความฝันในการนำเสนอสินค้าและบริการใหม่ๆ ทำให้ผู้บริโภครู้ถึงความแตกต่างอันหลายหลากของสินค้าและบริการ  กระตุ้นให้เกิดการแข่งขันเพื่อพัฒนาสินค้า บริการ ไม่ว่าจะเป็นในด้านคุณภาพหรือราคา เพื่อที่จะทำให้วันพรุ่งนี้เป็นวันที่ทำให้ชีวิตของพวกเขาได้ใช้สินค้าและบริการที่ดียิ่งขึ้น
ถ้าท่านต้องการความเป็นอิสระจากการทำงานให้ผู้อื่น เป็นผู้กำหนดธุรกิจและบริการที่ฝันอยากจะทำ ฉะนั้นแล้วการผู้ประกอบการก็น่าจะเป็นทางเลือกของชีวิตที่ท่านควรจะเริ่มต้นศึกษาเรียนรู้ แต่อย่างไรก็ตามการเป็นผู้ประกอบการหรือเป็นเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จได้นั้น ท่านต้องสำรวจตัวเองว่าท่านมีคุณลักษณะทั้ง 9 ที่กำลังจะกล่าวถึงมากน้อยเพียงใด ซึ่งคุณลักษณะของผู้ประกอบการที่มักจะประสบความสำเร็จที่ได้พบเห็นมีดังต่อไปนี้ครับ
  1. เป็นผู้ที่มีเป้าหมายในการทำธุรกิจที่ชัดเจน
  2. มีความมุ่งมั่นสูงที่จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ
  3. มีความอ่อนน้อม ไม่ถือตัว
  4. มีภาวะผู้นำ กล้าเสี่ยง และกล้าที่จะตัดสินใจ
  5. ทำงานเร็ว รวมถึงมีสัมผัสที่เร็วต่อโอกาส ปัญหา และอุปสรรค
  6. มีความฝัน ความคิดริเริ่ม และความคิดที่จะปรับปรุงสินค้าและบริการให้ดีขึ้นตลอดเลา
  7. ไม่คิดว่าธุรกิจที่ทำอยู่เป็นงานที่ต้องทำ แต่เป็นงานที่อยากทำ
  8. เก่งที่รู้จักเลือกหาทีมงานที่ไว้ใจได้
  9. มีความรู้สึกยินดี เมื่อต้องให้
คุณลักษณะสำคัญทั้งเก้าประการนั้น เป็นคุณลักษณะที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกันของการเป็นผู้ประกอบที่มักจะประสบผลสำเร็จ แต่ยังไม่ต้องตกอกตกใจไปนะครับว่าถ้าขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไปนั้นจะเป็นผู้ประกอบการไม่ได้ เพราะผมเชื่อว่าคนเราทุกคนนั้นมีคุณลักษณะเหล่านี้อยู่ในตัวของทุกคนอยู่แล้ว ที่แตกต่างกันไปก็คือความเข้มข้นของคุณลักษณะดังกล่าวในแต่ละคนนั้นมีไม่เท่ากัน มากบ้างน้อยบ้าง คุณลักษณะในบางอย่างเช่น ความคิดริเริ่ม หรือสัมผัสที่เร็วต่อโอกาส ปัญหาและอุปสรรค ถึงแม้จะเป็นคุณลักษณะที่บางครั้งติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด แต่ไม่ก็ไม่หมายความว่าผู้ที่มีคุณลักษณะด้านนี้ต่ำ ก็จะต้องมีอยู่ต่ำไปตลอดชีวิต อันที่จริงแล้วคุณลักษณะที่ว่านี้ จะสามารถที่จะเพิ่มพูนขึ้นได้จากการเรียนรู้ และประสบการณ์ที่มากขึ้น  เพียงแต่ผู้ที่มีอยู่น้อยก็ต้องขยัน หมั่นเพียรทำให้ได้มา  เพื่อทำให้ตนเองประสบความสำเร็จในการเป็นผู้ประกอบการ ส่วนคุณลักษณะด้านอื่นๆนั้น ผมเชื่อว่าสามารถฝึกฝนกันได้  และเมื่อใดที่องค์ประกอบของผู้ประกอบการทั้งเก้าที่เกื้อหนุนกันอยู่นั้นได้รับการผสมกันอย่างถูกส่วน วันนั้นคงเป็นวันที่ธุรกิจของท่านเติบโตในประเภทที่ว่า “ทำอะไรก็ดีไปหมด ใครจะฉุดก็หยุดไม่อยู่”
หากท่านได้สำรวจตัวเองแล้วคิดว่าสะสมคุณลักษณะทั้งเก้าได้ครบ และบอกกับตัวเองว่าพร้อมที่จะสร้างธุรกิจของตนเองวันนี้ เพื่อวันพรุ่งนี้แล้วละก็ ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ท่านเริ่มสู่การท้าทายของชีวิตบทใหม่คือการเริ่มต้นเป็นนายของตนเอง เพื่อกำหนดอนาคตให้กับตัวเองได้แล้วครับ